นิทานคุณธรรม



  นิทานเรื่อง ก้อนหินวิเศษ

ทุกเย็นเมื่อกลับจากโรงเรียน ข้าวโพดจะอ่านหนังสือเพื่อทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาในแต่ละวัน เสร็จแล้วก็จะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนในวันต่อไป ทำให้ข้าวโพดมีผลการเรียนที่ดีตลอดมา แม้ว่าข้าวโพด จะเป็นเด็กที่ขยันเรียน แต่ในใจลึกๆข้าวโพด ก็นึกอยากได้ของวิเศษสักชิ้นเพื่อช่วยให้ตนเองเรียนเก่งขึ้นเหมือนในนิทาน ที่เคยฟังเมื่อยังเด็กและ แล้วช่วงเวลาปิดเทอมใหญ่ที่เด็กๆทุกคนรอคอยก็มาถึง สำหรับข้าวโพดก็รอคอยที่จะได้เดินทางไปท่องเที่ยวและเรียนรู้ตามที่ต่างๆ เช่นกัน ปิดเทอมนี้ครอบครัวของข้าวโพดพากันไปเที่ยวทะเล ข้าวโพดสนุกสนานกับการเล่นน้ำทะเล และเดินดูเปลือกหอยที่อยู่ตามชายหาดอย่างตื่นเต้น เด็กชายวาดรูปเปลือกหอยชนิดต่างๆ ไว้ในสมุดบันทึก เพื่อจะได้นำรูปนั้นกลับมาค้นคว้าว่าเปลือกหอยที่เจอคือหอยอะไรบ้างระหว่างที่ข้าวโพดง่วนอยู่กับการวาดรูปเปลือกหอย เด็กชายแปลกหน้าคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาข้าวโพด พร้อมกับถามด้วยความสงสัยว่า"เธอวาดรูปเปลือกหอยทำไมเหรอ ฉันไม่เห็นว่ามันจะสวยตรงไหนเลย" เด็กชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ข้าวโพดจึงตอบไปว่า "ฉันก็วาดรูปเอาไว้ พอกลับไปถึงบ้าน ฉันก็จะไปดูในหนังสือว่าเปลือกหอยแบบนี้เป็นเปลือกหอยอะไรไง"เด็ก ชายแปลกหน้าได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะ และบอกกับข้าวโพดว่าตนเองรู้จักเปลือกหอยทุกชนิด และจำได้หมดโดยไม่ต้องบันทึกให้เสียเวลา เพราะมีก้อนหิน "ไม่เชื่อก็ลองชี้เปลือกหอยตามชายหาด หรือรูปที่เธอวาดดูสิ ฉันจะบอกชื่อให้ถูกหมดเลย""นี่ไงก้อนหินวิเศษของฉัน" เด็กชายแปลกหน้าแบบมืออวดก้อนหินรูปร่างประหลาดให้ข้าวโพดดู ข้าวโพดรู้สึกตื่นเต้นและนึกอยากได้ก้อนหินวิเศษนี้บ้าง "ฉันจะหามันได้จากที่ไหน" ข้าวโพดถามด้วยความสนใจเด็ก ชายแปลกหน้าจึงพาข้าวโพดเดินหาก้อนหินวิเศษอะไรจะหากันได้ง่ายๆ ตามชายหาดอย่างนี้ แต่เมื่อเห็นเด็กชายแปลกหน้าบอกชื่อเปลือกหอยได้อย่างคล่องแคล่ว ข้าวโพดก็ดีใจที่จะได้ก้อนหินวิเศษมาช่วยให้ตนเรียนหนังสือเก่งขึ้น"เวลา เธอทำข้อสอบ เธอก็ต้องนำมันติดตัวไปด้วย มันจะช่วยให้เธอทำข้อสอบได้อย่างสบายเลยแหละ อย่าลืมที่ฉันบอกล่ะ ถ้าเธอลืมเอามันติดตัวเธอก็จะทำข้อสอบได้ไม่ค่อยดีนัก" เด็กชายแปลกหน้ากำชับเมื่อ กลับมาบ้าน ข้าวโพดนำรูปเปลือกหอยมาค้นคว้า และพบว่าชื่อเปลือกหอยที่เด็กชายแปลกหน้าบอกตรงกับในตำรา ข้าวโพดยิ่งเชื่อสนิทใจและเก็บก้อนหินวิเศษไว้กับตัวเสมอ ทุกวันเวลาอ่านหนังสือก็จะเอาก้อนหินวิเศษออกมาวางบนโต๊ะอ่านหนังสือ และคิดไปว่าระยะหลังตนเรียนรู้ได้ดีกว่าเมื่อก่อน

และ แล้ววันสอบก็มาถึง เด็กชายจัดแจงเอาก้อนหินใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงโดยที่ไม่รู้เลยว่ากระเป๋า กางเกงตัวนั้นมีรอยขาด ระหว่างเดินทางไปโรงเรียน ก้อนหินวิเศษจึงหล่นหายไปโดยที่ข้าวโพดไม่รู้ตัวหลัง เคารพธงชาติคุณครูให้นักเรียนทุกคนเข้าห้องสอบ ข้าวโพดนั่งประจำที่ด้วยความมั่นใจเป็นพิเศษ พลางล้วงหาก้อนหินวิเศษในกระเป๋ากางเกง แต่ก้อนหินไม่อยู่กับเขาแล้ว ข้าวโพดตกใจและขาดความมั่นใจไปในทันที แต่เมื่อคุณครูนำข้อสอบมาแจก ข้าวโพดกลับสามารถทำข้อสอบได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องพึ่งก้อนหินวิเศษแต่อย่างใด จากที่เคยกังวลว่าจะทำข้อสอบไม่ได้ เพราะไม่มีก้อนหินวิเศษก็เปลี่ยนเป็นความสนุกสนานในการทำข้อสอบผลสอบในครั้งนั้นข้าวโพดมีคะแนนนำมาเป็นอันดับหนึ่ง และได้เป็นตัวแทนโรงเรีนไปตอบปัญหาวิทยาศาสตร์จนได้รางวัลชนะเลิศ สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน โดยที่ไม่มีก้อนหินวิเศษคอยช่วยเหลือแต่อย่างใดคืน หนึ่งข้าวโพดฝันเห็นเด็กชายแปลกหน้า ในฝัน ข้าวโพดบอกเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนใหม่ฟัง ทันใดนั้นเด็กชายแปลกหน้าก็กลายร่างเป็นนางฟ้าแสนสวย นางฟ้าบอกกับข้าวโพดว่า"เธอ ไม่ต้องมีของวิเศษอะไรหรอกจ้ะ เพราะการที่เธอเป็นเด็กขยัน ชอบขวนขวายหาความรู้ใส่ตัวอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ปล่อยเวลาว่างให้เปล่าประโยชน์นั้น มีค่ากว่าของวิเศษใดๆ ขอให้เธอจงยึดมั่นในสิ่งต่างๆเหล่านี้ตลอดไป แล้วเธอจะมีชีวิตที่ดีในวันข้างหน้า ลาก่อนจ้ะ" พูดจบนางฟ้าก็หายตัวไปตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมา ข้าวโพดไม่เคยอยากได้ของวิเศษใดๆ เพราะรู้แล้วว่า ความเอาใจใส่ในการเรียน และ หาความรู้คือของวิเศษที่แท้จริง
วัย เด็กเป็นวัยสำคัญสำหรับการวางรากฐานเพื่อความสำเร็จ ความเจริญและความสุขในชีวิต เยาวชนจึงต้องไม่ปล่อยให้ผ่านไปเปล่า โดยมิได้ขวนขวายหาความรู้และความดีใส่ตัว เพราะการกระทำเช่นนั้น เป็นการทำลายตนเอง ทำลายส่วนรวมโดยแท้

ที่มา : http://fable.kippo.com/view/556/


นิทานเรื่อง สมบัติของคุณปู่

ปิดเทอมหน้าร้อนปีนี้ เพชร พลอย และแพร สามพี่น้องต้องมาพักอยู่กับคุณปู่และคุณย่าที่อำเภอเล็กๆ ทางภาคเหนือ เนื่องจากคุณพ่อของพวกเขาไม่สบายต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ส่วนคุณแม่ก็ต้องทำงานในตอนกลางวัน และ ไปเฝ้าคุณพ่อในตอนกลางคืน จึงไม่มีเวลามาดูแลพวกเขาบ้านของคุณปู่ คุณย่า เป็นบ้านไม้หลังใหญ่ที่มีห้องหับมากมาย คุณปู่พาเด็กๆสำรวจห้องต่างๆ จนกระทั่งถึงห้องหนึ่ง คุณปู่บอกว่า "นี่เป็นห้องสมบัติที่มีค่าของปู่"เด็ก ทั้งสามได้ยินดังนั้นก็จินตนาการกันไปว่า ในห้องนี้คงจะเต็มไปด้วยสมบัติ ประเภทแก้วแหวนเงินทอง แต่เมื่อคุณปู่ดึงประตูห้องให้เปิดอ้าออก สิ่งที่ เพชร พลอย และ แพร เห็นก็คือ หนังสือ หนังสือ และหนังสือ ห้องนี้เต็มไปด้วยหนังสือมากมายหลายชนิดวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบจรด เพดานพื้นห้อง "โอ้โห ! มีแต่หนังสือเต็มไปหมดเลย" พลอยอุทานด้วยความตื่นเต้น"หลานอยากอ่านหนังสือเล่มไหน ก็เอาไปอ่านได้เลยนะ เมื่ออ่านเสร็จแล้วก็เอามาคืนที่เดิมด้วยล่ะ" จากนั้นคุณปู่ก็พาไปยังห้องอื่นๆเมื่อ สำรวจบ้านคุณปู่ครบทุกห้องแล้ว เพชรก็ชวนน้องทั้งสองไปเดินสำรวจรอบๆหมู่บ้าน แต่พลอยติดใจหนังสือในห้องคุณปู่ จึงขออ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน พลอยชอบอ่านหนังสือมาก เธออ่านหนังสือทุกประเภท เพราะนอกจากจะสนุกไปกับเรื่องราวต่างๆแล้ว เธอยังได้รับความรู้อีกมากมายตั้งแต่ มาอยู่บ้านคุณปู่ พลอยก็ได้อ่านหนังสือเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก พลอยชวนพี่เพชร กับ น้องแพรมาอ่านหนังสือด้วยกัน แต่ทั้งสองอยากไปเดินเล่นมากกว่าพลอยจึงไม่คะยั้นคะยออีก ขณะที่พลอยอ่านหนังสือเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงน้องแพรร้องตะโกนว่า"ช่วยด้วย พี่เพชรโดนผึ้งต่อย ช่วยด้วยค่ะ" พลอย จึงรีบวิ่งออกไปตามเสียงของน้องแพร และเห็นพี่เพชรนอนร้องโอดโอยอยู่ เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าตามใบหน้า และ แขนมีจุดสีแดงๆที่เกิดจากการถูกผึ้งต่อย และ เจ้าจุดที่ว่านี้ก็เริ่มบวมมากขึ้นทุกที"ทำไมพี่เพชรถึงโดนผึ้งต่อยได้ล่ะ" พลอยถามน้องแพรที่ยืนร้องไห้เพราะสงสารพี่ชาย"ก็พี่เพชรจะเก็บดอกไม้ไปฝากพี่พลอย ก็เลยถูกผึ้งต่อยเอาน่ะสิ" "โถ น่าสงสารจัง พี่เพชรอดทนหน่อยนะ เดี๋ยวพลอยวิ่งไปเอากล่องยาที่บ้านก่อน"สักพักพลอยก็วิ่งกลับมาพร้อมกล่องยาและกุญแจ พลอยเห็นแพรทำหน้าสงสัยจึงอธิบายให้น้องสาวฟังว่า "กุญแจ นี้ เอาไว้กดเหล็กไนของผึ้ง เพราะพิษของผึ้งอยู่ที่เหล็กไน จึงต้องเอาเหล็กไนออกจากบริเวณที่โดนต่อยอย่างเร็วที่สุด โดยใช้กุญแจที่มีรูตรงปลายครอบจุดที่ถูกต่อย แล้วกดลงให้เหล็กไนโผล่ ค่อยๆจับเหล็กไนทางปลายแล้วดึงออก อย่าพยายามแคะ เพราะเหล็กไนอาจหักฝังคาอยู่ในเนื้อได้ พอเอาเหล็กไนออกมาได้แล้ว ค่อยทายาหรือประคบด้วยน้ำแข็ง เมื่อวานพี่อ่านหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนี้พอดีน่ะ""เหรอ ดีจังเลยนะ หนังสือที่มีประโยชน์จริงๆ ถ้าเราไม่รู้วิธีการปฐมพยาบาลคนที่ถูกผึ้งต่อย พี่เพชรคงต้องแย่แน่ๆเลย พรุ่งนี้แพรไปอ่านหนังสือกับพี่พลอยดีกว่า" "พี่อ่านด้วย" เพชรพูดขึ้นหลังจากที่อาการปวดทุเลาลงแล้วคุณย่าได้ยินเสียงของแพรก็เลยเรียกคุณปู่ออกมาดูคุณปู่บอกว่า "ปู่ ดีใจที่หลานสามารถแก้ปัญหาและช่วยเหลือผู้อื่นได้ เห็นไหมล่ะว่าหนังสือเป็นคลังความรู้ที่มีค่า หากเรารู้จักเลือกอ่านหนังสือที่ดีมีประโยชน์และนำความรู้มาใช้ ก็จะสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้เหมือนอย่างพลอยนี่แหละ"คุณย่าซึ่งได้ฟังคุณปู่พูดอยู่ใกล้ๆ ก็ยื่นสมุดเล่มเล็กๆให้หลานๆ พลางบอกว่า"นี่ จ้ะหลานๆ สมุดบันทึกนี้ย่าให้ไว้เก็บสมบัติของคุณปู่ นอกเหนือจากที่จดจำ .. เมื่ออ่านพบสิ่งใดที่ดีมีประโยชน์ ก็บันทึกไว้ เผื่อจะได้ใช้ประโยชน์ในภายหน้านะ"ใกล้จะถึงวันเปิดเทอม เด็กทั้งสามก็ได้รับข่าวดีจากคุณแม่ว่า คุณพ่อหายป่วยแล้วและจะมารับกลับบ้านเมื่อ กลับมาบ้าน คุณแม่ก็สังเกตเห็นว่า เพชรและแพรเปลี่ยนไปมาก เมื่อไหร่ที่มีเวลาว่าง สามพี่น้องจะหาหนังสือมานั่งอ่านด้วยกัน แถมยังคอยบันทึกสิ่งต่างๆใส่สมุดเล่มเล็ก จึงโทรไปถามคุณปู่ "สวัสดีค่ะคุณพ่อ เกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆคะ ตั้งแต่กลับมาจากบ้านคุณพ่อ ลูกๆของพิมพ์ ก็กลายเป็นหนอนหนังสือไปทั้งสามคนเลย"คุณปู่หัวเราะ หึหึ แล้วพูดว่า "เป็นอย่างนั้นเหรอ อาจเป็นเพราะสมบัติที่พ่อยกให้พวกเด็กๆก็ได้นะ""สมบัติอะไรหรือคะ" คุณแม่ถามด้วยความสงสัย"พิมพ์ไปถามลูกๆเองก็แล้วกัน คราวหน้าถ้าพิมพ์มาพ่อจะให้พิมพ์ดูสมบัติของพ่อ ว่างๆก็พาเด็กๆมาเที่ยวอีกนะ"เปิด เทอมใหม่ เพชร พลอย และ แพรต่างก็ตั้งใจเรียนอย่างขยันขันแข็ง หากมีเวลาว่างพวกเขาก็จะอ่านหนังสือ ทั้งหนังสือเรียนและหนังสืออื่นๆ เมื่อผลการสอบของเทอมแรกออกมา ปรากฏว่าสามพี่น้องมีผลการเรียนที่ดีขึ้นมาก คุณพ่อคุณแม่ จึงให้รางวัลด้วยการพาสามพี่น้องไปเที่ยวทะเล และหนังสือที่เด็กๆอยากได้อีกคนละ 1 ชุด"... หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมาทำมาคิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นคล้ายๆธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้"

ที่มา : http://fable.kippo.com/view/552/

 
นิทานเรื่อง ต้นกล้าคนใหม่
ณ. โรงเรียนแสนสุขวิทยา คุณครูนิภากำลังมอบหมายให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ค้นคว้าข้อมูลด้วยตัวเองในห้องสมุด"วันนี้ ครูจะให้นักเรียนแต่ละคนจำแนกประเภทของสัตว์ต่างๆ คือ สัตว์ปีก สัตว์นำ สัตว์บก และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำนะจ๊ะ อ้อ ... อย่าลืมค้นคว้าข้อมูลในหนังสือให้ดี และก็ตรวจทานให้ละเอียดรอบคอบล่ะ ถ้าใครทำได้ดีครูจะมีรางวัลให้" ครูนิภากล่าวก่อนเดินจากไป"ค่ะคุณครู" "ครับคุณครู" เด็กๆขานรับอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อคล้อยหลังครู"นี่ลูกแก้ว เธอทำได้กี่ข้อแล้ว"ต้นกล้า เด็กชายจอมแก่นประจำห้องเอ่ยถาม"ฉันทำได้สองข้อแล้วล่ะ" เด็กชายลูกแก้วตอบพร้อมกับพลิกอ่านข้อมูลจากหนังสือเล่มโตด้วยความกระตือร้อร้นที่จะค้นหาคำตอบ"โธ่ .. เธอนี่ชักช้าจริงๆ สู้ฉันก็ไม่ได้ ทำใกล้จะเสร็จแล้ว จะได้ไปวิ่งเล่นซะที""โอ้โฮ ทำไมเธอเก่งจัง เธอรู้จักสัตว์ทุกชนิดเลยหรอ" ลูกแก้วชื่นชมต้นกล้า"อือ. ก็ทำนองนั้นแหละ แต่บางอย่างฉันก็ไม่รู้หรอก เดาๆเอาน่ะ รับรองฉันเดาถูกหมด เฮ้ย! ไม่ใช่ ตอบถูกหมดแน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า" พูดจบต้นกล้าก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานด้วยความรีบเร่งเพื่อจะได้เสร็จไวๆ"อืม กบเหรอฉันเคยเห็นตอนมันอยู่บนบก ตอนอยู่ในน้ำไม่ยักเคยเห็นซักที มันต้องเป็นสัตว์บกแน่ๆ แล้วพระยูนมันเป็นยังไงนะ เป็นสัตว์ปีกแล้วกัน เพราะสัตว์ปีกไม่ค่อยมี ฮิ ฮิ ฮิ" ต้นกล้าพึมพำคนเดียว"ไชโย ... เสร็จแล้ว ลันลันลา" ต้นกล้านำแบบฝึกหัดไปส่งที่โต๊ะครูก่อนใครเพื่อน เสร็จแล้วก็เที่ยวหยอกล้อคนนั้นคนนี้ แต่เมื่อเห็นเพื่อนทุกคนล้วนตั้งหน้าตั้งตาค้นคว้า ก็รู้สึกเบื่อ เลยหยิบหนังสือการ์ตูนในกระเป๋ามาอ่านเล่น แล้วก็เลอหลับไป ขณะที่ลูกแก้วกำลังขะมักเขม้นทำงานอย่างรอบคอบ"นี่ไง หนังสือเล่มนี้มีเรื่องของกบ .. กบเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ แล้วพะยูนเป็นสัตว์น้ำและอาศัยอยู่ในทะเล" ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ลูกแก้วจึงทำแบบฝึกหัดเสร็จเมื่อคุณครูนิภากลับมาตรวจแบบฝึกหัดของนักเรียน ...

"คนที่ได้คะแนนสูงสุดก็คือ ... เด็กชายลูกแก้ว นักเรียนปรบมือให้เพื่อนด้วยจ้ะ" ครูนิภาชื่นชมลูกแก้ว เพื่อนๆต่างก็ปรบมือเกรียวกราว"ทุกคนทำได้ดีมากจ้ะ ครูจะให้รางวัลโดยการให้ไปเล่นที่สนามเด็กเล่นได้" ครูนิภาบอกกับเด็กๆ"ไชโย" ต้นกล้ากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เพราะ อยากไปเล่นนอกห้องเรียนใจจะขาด"ทุกคน ... ยกเว้น เด็กชายต้นกล้า" ครูนิภาว่า"ทำไมล่ะครับคุณครู" ต้นกล้าถาครูนิภาดว้ยสีหน้าฉงนระคนผิดหวัง"ก็เพราะว่าเธอทำงานที่ครูสั่งผิดเกือบหมดเลยน่ะสิ เพราะฉะนั้นเธอจะต้องทำแบบฝึกหัดใหม่ทั้งหมดและทำให้ถูกต้องด้วย เข้าใจไหมจ้ะ" ครูนิภาบอกกับต้นกล้า"ครับผม" ต้นกล้าจำใจยอมรับอย่างเศร้าๆ ในใจแอบอิจฉาลูกแก้วกับเพื่อนๆที่ได้วิ่งเล่นในสนามเด็กเล่นอย่างสนุกสนานจน กระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน เด็กๆทุกคนต่างเก็บกระเป๋ากลับบ้านกันแล้ว แต่ต้นกล้ายังง่วนอยู่กับการทำแบบฝึกหัดด้วยความกังวล เพราะ อยากจะกลับบ้านแล้วเช่นกัน"นี่หนังสือของฉัน ฉันให้เธอยืม" ลูกแก้วกล่าวพร้อมยื่นหนังสือให้กับต้นกล้า แล้วพูดต่อว่า"หนังสือเล่มนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ชนิดต่างๆ เยอะแยะเลย เธออย่าลืมเปิดดูนะ ฉันไปล่ะ" พูดจบ ลูกแก้วก็เดินจากไปต้น กล้ารับหนังสือไว้ด้วยความตื้นตันใจ พร้อมกล่าวขอบคุณเพื่อนที่มีน้ำใจ พลางพลิกดูข้อมูลในหนังสือ ในที่สุดต้นกล้าก็ทำแบบฝึกหัดเสร็จ และนำไปส่งครูนิภาที่ห้องพักครูคราวนี้ครูนิภากล่าวชมต้นกล้าที่ทำงานเป็นระเบียบและสามารถตอบคำถามได้ถูกต้อง"อืม ... ดีมากต้นกล้า คราวนี้เธอตอบคำถามได้ถูกหมดทุกข้อเลยนะ ถ้ารู้จักขวนขวาย .. หมั่นเสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ไม่อยู่นิ่ง ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ สนใจค้นคว้าข้อมูลและทำงานให้เป็นระเบียบตั้งแต่แรก ป่านนี้ก็คงได้กลับบ้านไปแล้วล่ะ แต่ไม่เป็นไร ถือว่าเธอได้แก้ไขตัวเองแล้วในวันนี้ วันต่อไป ก็ขอให้ตั้งใจอย่างนี้นะจ๊ะ"
"ครับคุณครู" ต้นกล้ารู้สึกดีใจที่ได้รับคำชมจากครูนิภา และตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะต้องขอบคุณลูกแก้วที่ให้ยืมหนังสือ และจะตั้งใจเรียนเหมือนลูกแก้วด้วยหลัง จากวันนั้น ต้นกล้าก็ปรับปรุงตัวเองใหม่ ใส่ใจและรอบคอบกับงานที่ครูมอบหมายให้ทำทุกครั้ง แถมยังทำงานอย่างมีระเบียบวินัย ทำให้ต้นกล้ามีผลการเรียนที่ดี และเป็นที่รักของเพื่อนๆเด็ก ควรขวนขวายหาวิชา พร้อมทั้งฝึกความเป็นระเบียบ รู้เหตุ รู้ผลให้แก่ตัว เพราะวิชาและความเป็นระเบียบนั้นจะช่วยให้คิดถูก ทำถูก พูดถูก จะทำให้คนมีอิสรภาพแท้อย่างเต็มเปี่ยม ในวันข้างหน้า

ที่มา : http://fable.kippo.com/view/554/


นิทานเรื่อง เมืองมีระเบียบ

ที่ เมืองมีระเบียบ ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ต้นไม้ปลูกเป็นแถว เป็นแนวอย่างสวยงาม ถนนหนทางก็ดูสะอาดตา ไร้ขยะ เด็กๆทุกคนถูกสอนว่าหลังกลับจากโรงเรียน ต้องเก็บอุปกรณ์การเรียน ทั้งสมุด ปากกา ดินสอ ตำราเรียนของตนเองให้เป็นที่เป็นทาง เป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อจะทำการบ้านจะได้หยิบฉวยมาทำได้โดยไม่ต้องเสียเวลาค้นหา รวมทั้งหัดแบ่งเวลาให้เป็นระเบียบ กล่าวคือ เวลาเรียน เวลาเล่น เวลาทำการบ้าน เวลาอ่านหนังสือ และ เวลาพักผ่อน ซึ่งถือเป็นการหัดให้มีความรับผิดชอบ เป็นคนที่สามารถจัดระเบียบชีวิตของตนเองในแต่ละวันด้วยเด็กๆทุกคนฝึกปฏิบัติการ "จัดระเบียบ" จึงทำการบ้านเสร็จอย่างรวดเร็วและถูกต้อง มีเวลาเหลือสำหรับทบทวนบทเรียน อีกทั้งการบ้านก็ไม่คั่งค้าง ได้เข้านอนแต่หัวค่ำ และตื่นเช้าไปโรงเรียนในวันถัดไปแล้ววันหนึ่งเจ้าเมืองมีระเบียบได้เรียกเด็กๆในเมืองมาประชุมพร้อมกัน"เด็กๆ ทุกคนฟังให้ดี ตอนนี้เมืองของเราเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย แต่เด็กๆไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าเราช่วยกันยึดมั่นในความเป็นระเบียบ เมืองของเราก็จะผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้" เจ้าเมืองระเบียบบอกกับเด็กๆ
เด็กๆทุกคนต่างอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงพูดคุยกันเสียงอื้ออึงกันไปหมด 'แผ่นดิน' เด็กจอมซนประจำเมือง จึงถามเจ้าเมืองด้วยความสงสัย "มีปัญหาอะไรเหรอครับท่านเจ้าเมือง ท่านช่วยบอกให้พวกเราทราบทีเถอะ เราจะได้ช่วยกันแก้ไข"เจ้าเมืองมีระเบียบได้ฟังดังนั้นจึงตอบไปว่า "ใช่สินะ เด็กๆอย่างพวกเจ้าควรจะรู้เอาไว้ เพราะเป้าหมายของมันก็คือพวกเจ้า" เจ้าเมืองอธิบายต่อว่า "ทุกๆร้อยปี เจ้าปีศาจไร้ระเบียบจะออกอาละวาดโดยจะทำให้เด็กในเมืองของเราซึมซับความไร้ ระเบียบจากมัน และในที่สุดเด็กผู้นั้นก็จะกลายเป็นพลเมืองไร้ระเบียบ และถูกพาตัวไปที่เมืองไร้ระเบียบ ไม่ได้กลับมาอีก และบัดนี้กาลเวลาก็เวียนมาครบร้อยปีแล้ว เราจึงออกมาเตือนเด็กๆทุกคนด้วยความเป็นห่วง"เจ้า เมืองบอกถึงวิธีการป้องกันตนเองจากปีศาจไร้ระเบียบ นั่นก็คือ เด็กๆทุกคนจะต้องยึดมั่นในแนวทางของเมืง คือ จัดบ้านให้เป็นระเบียบ จัดเครื่องเขียนแบบเรียนให้เป็นที่เป็นทาง เป็นระเบียบเรียบร้อย และที่สำคัญ ห้ามทิ้งของใช้ส่วนตัวเกะกะ เพราะไม่อย่างนั้น เจ้าปีศาจไร้ระเบียบจะมาหาเด็กๆถึงบ้านแต่สำหรับเด็กชายแผ่นดินซึ่งมีนิสัยซุกซน กลับเกิดนึกสนุกอยากไปท่องเมืองไร้ระเบียบดูสักครั้งเมื่อ กลับถึงบ้าน เขาจึงรื้อของออกจากกระเป๋านักเรียนก่อนจะออกไปวิ่งล่น โดยที่เจ้าปีศาจไร้ระเบียบได้ซ่อนตัวเฝ้ามองอยู่ เมื่อเห็นดังนั้นจึงหัวเราะชอบใจ แล้วเข้ามากระซิบว่า"แผ่นดิน .. ไปเป็นพลเมืองไร้ระเบียบกันเถอะ เมืองของเราสนุกนะ" พูดจบ มันก็หัวเราะเสียงดัง ทำให้แผ่นดินนึกสนุกตามไปด้วย ทั้งยังยั่วเย้าให้แผ่นดินเล่นต่อไปจนลืมเวลา ลืมว่าเอาอุปกรณ์การเรียนไว้ที่ใบ้าง คืนนั้นแผ่นดินหลับไปโดยไม่ได้ทำการบ้านครั้น เมื่อตื่นขึ้น แผ่นดินมองไปรอบตัว เห็นข้าวของรกรุงรัง ทุกอย่างกระจัดกระจาย ไร้ระเบียบ จาน ชาม ช้อนที่ควรจะอยู่ในห้องครัว กลับมาอยู่ในห้องนอนของเขา อุปกรณ์ทำสวนวางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะหนังสือ"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอต้อนรับสู่เมืองไร้ระเบียบ" เสียงหนึ่งดังมาจากประตู "ก่อนที่เธอจะได้เป็นพลเมืองไร้ระเบียบอย่างเต็มตัว เธอจะต้องผ่านการทดสอบและฝึกที่จะอยู่กับความไร้ระเบียบให้ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า" ปีศาจไร้ระเบียบบอกกับแผ่นดินก่อนเดินจากไป แผ่น ดินได้ฟังดังนั้น ก็รู้สึกหวาดกลัว นี่หรือเมืองไร้ระเบียบที่เจ้าเมืองระเบียบเคยบอก ท้องฟ้าสีหม่นๆ ทุกอย่างดูระเกะระกะ รถราวิ่งขวักไขว่ไร้ระเบียบ เด็กนักเรียนแต่งตัวมอมแมม หน้าตาหม่นหมอง รื้อหาข้าวของอุปกรณ์การเรียนให้วุ่นวาย สายโด่งแล้วยังไม่ได้ไปโรงเรียนเสียที"ช่วยด้วยๆ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว" แผ่นดินร้องตะโกน แล้วก็นึกถึงคำของเจ้าเมืองมีระเบียบที่บอกว่า "สิ่งที่สามารถป้องกันเด็กๆจากเจ้าปีศาจได้คือความ มีระเบียบ " นึก ได้ดังนั้น แผ่นดินจึงรีบจัดข้าวของในบ้านให้เป็นระเบียบ เรียบร้อย จาน ชาม ช้อน กลับไปอยู่ที่ห้องครัว อุปกรณ์ทำสวนไปอยู่ในที่ของมัน เครื่องเขียนแบบเรียนกลับมาอยู่ที่โต๊ะทำการบ้าน ไม่นานทุกอย่างก็สะอาดเอี่ยม น่าอยู่และมีระเบียบขึ้นทันตาทันใดนั้น แสงสว่างก็ปกคลุมเมืองไร้ระเบียบ ผู้คนที่เคยเศร้าหมองก็หน้าตาสดใสขึ้น ความไร้ระเบียบหายไปหมดสิ้น"ขอต้อนรับทุกคนกลับบ้าน" เสียงเจ้าเมืองมีระเบียบดังกึกก้อง "เป็นอย่างไรบ้างแผ่นดิน ได้ไปเที่ยวเมืองไร้ระเบียบมา สนุกมั้ย อยากกลับไปอีกหรือเปล่า"แผ่นดินรีบตอบเจ้าเมืองทันทีว่า "ผมไม่อยากไปอีกแล้ว เข็ดแล้วครับ""ดี แล้วล่ะ แม้ว่าสิ่งที่เธอทำไปนั้นจะเกิดจากความนึกสนุกซุกซน แต่ก็ต้องขอชมเธอที่รู้ตัว แล้วใช้ความมีระเบียบต่อสู้กับปีศาจไร้ระเบียบ จนสามารถกลับมาบ้านได้สำเร็จ ทั้งยังพาพลเมืองคนอื่นๆที่เคยถูกสาปกลับมาได้อีกด้วย"แผ่นดินอมยิ้มด้วยความภูมิใจ"จำไว้นะ คนที่มีระเบียบ ก็เพราะใจเขามีระเบียบ เมื่อใจเขามีระเบียบ เขาก็จะรู้ตัว จัดสิ่งของต่างๆ รอบตัวเขาให้มีระเบียบ" เจ้าเมืองมีระเบียบย้ำกับเด็กๆตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมา ทุกคนก็อาศัยอยู่ในเมืองมีระเบียบอย่างมีความสุข ส่วนแผ่นดินก็ยึดมั่นในระเบียบวินัยของเมืองเป็นอย่างดี สิ่งนี้เองทำให้แผ่นดินโตขึ้นเป็นพลเมืองมีระเบียบ และ ประสบความสำเร็จในการเรียนและหน้าที่การงานดีในอนาคตด้วย เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบ และคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆได้โดยถูกต้อง รวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสรางความสำเร็จและความเจริญให้แก่ตนเอง แก่ส่วนรวม ในอนาคตได้อย่างแน่นอน
 
ที่มา : http://fable.kippo.com/view/557/


     ทักทาย     ทักทาย     ทักทาย   ทักทาย




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น