มันรีบเล่าอย่างตื่นเต้นถึงสัตว์ประหลาด
ตัวนั้นว่า ” แม่
ๆเมื่อตะกี้นี้นะ…ที่บึงฝั่งโน้นน่ะ มีสัตว์อะไรก็ ไม่รู้ ตัวใหญ่เบ้อเริ่มเลยหละ…ตัวใหญ่มาก…ใหญ่จริง ๆ…ฮะ ฮะ
ฮะ ” แม่กบเมื่อมันเห็นลูก ๆตื่นเต้น แบบสุด ๆอย่างนั้น ก็ให้เป็นรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเป็นอย่างมาก
จึงบอกกับลูกว่า ” นี่ นี่ลูก ไม่มีสัตว์ตัว ไหนที่จะใหญ่ไปกว่าท้องที่เป่าจนพองของแม่ไปได้หรอกเชื่อสิ…ลูกเอ๋ย “
บอกลูกแล้ว แม่กบก็เบ่งท้องของมันจนป่องกลมแล้วตะโกนถามลูกว่า
” ดูแม่นี่ ตัวแม่ใหญ่เท่ากับสัตว์
ที่พวกเจ้าเห็นมาเหมือนกัน? ” ลูกกบทำมือเปรียบเทียบแล้วบอกกับแม่ว่า
” แม่เอาอะไรมาพูดจ๊ะ…ตัว แม่ทั้งตัวยังเล็กกว่าเท้าของมันเลย
” แม่กบจึงโกรธและด้วยแรงอิจฉามันยิ่งพยายามเบ่งท้องของมัน ให้ใหญ่ขึ้นไปอีก…ใหญ่ขึ้น ๆๆ…แล้วถามพวกลูก ๆขึ้นอีกว่า ” นี่ล่ะ เท่านี้ล่ะ ใหญ่เท่าหรือยัง? ” แต่พวกลูก ๆก็ยังตอบว่า
“ยังเลยแม่…ใหญ่กว่านี้อีก ”
แม่กบเมื่อได้ยินลูกบอกว่า
ยังไม่ใหญ่เท่าที่เห็นพอ มันจึงรวบรวมพลังเข้าไปอีกเป็นครั้งสุดท้าย แล้งเบ่งท้องของมันอย่างสุดกำลังเกิดเลยทีเดียว…เรียกว่าครั้งนี้เป็นครั้ง ที่มันได้พองลมครั้งที่
ใหญ่ที่สุดในชีวิตของมันก็ว่าได้” โอบ โอบ…นี่ล่ะเป็นไง?ใหญ่กว่าแล้วใช่ไหม? ” ลูกกบก็ยังส่ายหัว ตอบว่า ” แม่จ๋าเปลืองแรงปล่าว ๆ
ยังไง ๆก็เล็กกว่าจ๊ะ ” แม่กบหน้าเขียวและคิดไม่ยอมแพ้แต่ท้องที่
พองจนเต็มที่นั้นไม่สามารถที่จะขยายต่อไปได้อีกแล้ว จึงแตกดังโพ๊ละ ลูกกบก็ส่ายหัวและพูดตามประสา
ซื่อว่า “แหวะ..ท้องแม่นอกจากจะไม่ใหญ่แล้ว ยังแตกเป็นรู
น่าเกลียดจัง พวกเราปล่อยแม่ให้แกเบ่งของ แกต่อไปอย่างนั้นเถอะ” แล้วลูกกบก็พากันชวนพี่ๆน้องๆไปแหวกว่ายน้ำ ในบึงกันต่อไป….
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ตนต้องรู้จักประมาณตน อย่าได้เอาเยี่ยงอย่างเป็นเช่นแม่กบที่เบ่งท้องจนแตกตายอย่างในนิทาน เรื่องนี้นะครับ"
นิทานเรื่อง
หนูบ้านนอกกับหนูในเมือง
หนูบ้านนอกตัวหนึ่ง ได้เชิญเพื่อนเก่าซึ่งเป็นหนูในเมืองให้มาอยู่กับมันชั่วระยะหนึ่ง
และมันตั้งใจจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดแก่ เพื่อน ไม่ว่าเปลือกขนมปังที่ขึ้นรา
เนยแข็งเล็กๆ ข้าวโอ๊ตที่ขึ้นรา เศษหมูเบคอนเล็กๆ และอีกหลายๆอย่าง
ในที่สุดเพื่อนของมันพูด ว่า " เพื่อนเก่าของฉัน ขอให้ฉันพูดตรงๆนะ ทำไมจะทนทุกข์
ยากอยู่อย่างนี้ เมื่อเธอไปอยู่กับฉันในเมือง เธอจะหนีความทนทุกข์และมี ความสุข
สนุกสนานกับชีวิตในเมือง "
หนูทั้งสองได้เดินทางเข้าเมืองพร้อมกันอย่างอิดโรย จนกระทั่งเที่ยงคืนถึงที่หมาย
หนูในเมืองก็ได้พาหนูบ้านนอกไปในห้องเก็บ อาหาร แล้วไปในห้องรับแขก มีอาหาร
ซึ่งหนูบ้านนอกไม่เคยพบตั้งอยู่บนโต๊ะอาหาร เป็นอาหารอันโอชะที่เหลือจากตอนเย็น
ทันใดนั้นเองประตูก็เปิดออก มีชาย 2 คนเดินเข้ามากับสุนัข ได้พูดคุยเสียงดัง
ทำให้หนูตกใจมาก แต่พอทุกอย่างเข้าสู่ความเงียบ หนูบ้านนอกก็พูดขึ้นว่า
" เพื่อนรัก ถ้าชีวิตในเมืองมีลักษณะเช่นนี้ ฉันขอกลับไปอยู่บ้านนอกของฉัน
ที่มีเศษเนยเก่าๆขึ้นรากับขนมปัง ขึ้นราดีกว่า อยู่รูเล็กๆแต่ปราศจากความหวาดกลัว
และอันตราย ดีกว่าเป็นนายใหญ่โตแต่ต้องคอยระมัดระวังตัวมีแต่ความรำคาญใจ "
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ชีวิตที่สงบในชนบทเป็นสิ่งที่ดีกว่าความรวยในโลกซึ่งเต็มไปด้วยความยุ่งยาก
หนูบ้านนอกตัวหนึ่ง ได้เชิญเพื่อนเก่าซึ่งเป็นหนูในเมืองให้มาอยู่กับมันชั่วระยะหนึ่ง
และมันตั้งใจจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดแก่ เพื่อน ไม่ว่าเปลือกขนมปังที่ขึ้นรา
เนยแข็งเล็กๆ ข้าวโอ๊ตที่ขึ้นรา เศษหมูเบคอนเล็กๆ และอีกหลายๆอย่าง
ในที่สุดเพื่อนของมันพูด ว่า " เพื่อนเก่าของฉัน ขอให้ฉันพูดตรงๆนะ ทำไมจะทนทุกข์
ยากอยู่อย่างนี้ เมื่อเธอไปอยู่กับฉันในเมือง เธอจะหนีความทนทุกข์และมี ความสุข
สนุกสนานกับชีวิตในเมือง "
หนูทั้งสองได้เดินทางเข้าเมืองพร้อมกันอย่างอิดโรย จนกระทั่งเที่ยงคืนถึงที่หมาย
หนูในเมืองก็ได้พาหนูบ้านนอกไปในห้องเก็บ อาหาร แล้วไปในห้องรับแขก มีอาหาร
ซึ่งหนูบ้านนอกไม่เคยพบตั้งอยู่บนโต๊ะอาหาร เป็นอาหารอันโอชะที่เหลือจากตอนเย็น
ทันใดนั้นเองประตูก็เปิดออก มีชาย 2 คนเดินเข้ามากับสุนัข ได้พูดคุยเสียงดัง
ทำให้หนูตกใจมาก แต่พอทุกอย่างเข้าสู่ความเงียบ หนูบ้านนอกก็พูดขึ้นว่า
" เพื่อนรัก ถ้าชีวิตในเมืองมีลักษณะเช่นนี้ ฉันขอกลับไปอยู่บ้านนอกของฉัน
ที่มีเศษเนยเก่าๆขึ้นรากับขนมปัง ขึ้นราดีกว่า อยู่รูเล็กๆแต่ปราศจากความหวาดกลัว
และอันตราย ดีกว่าเป็นนายใหญ่โตแต่ต้องคอยระมัดระวังตัวมีแต่ความรำคาญใจ "
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ชีวิตที่สงบในชนบทเป็นสิ่งที่ดีกว่าความรวยในโลกซึ่งเต็มไปด้วยความยุ่งยาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น