นิทานพื้นบ้าน


     นิทานเรื่อง ตำนานผาแดงนางไอ่

      ครั้งหนึ่ง ยังมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อ "นครเอกชะทีตา" มีพระยาขอม
เป็นกษัตริย์ปกครองเมืองด้วยความร่มเย็น พระยาขอมมีพระธิดาสาวสวย
นามว่า "นางไอ่คำ" ซึ่งเป็นที่รักและ หวงแหนมาก จึงสร้างปราสาท 7 ชั้น
ให้ อยู่พร้อมเหล่าสนม กำนัล คอยดูแลอย่างดี

ขณะเดียวกันยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อ "เมืองผาโพง" มีเจ้าชายนามว่า "ท้าวผาแดง" เป็นกษัตริย์ปกครองอยู่ ท้าวผาแดง
แห่ง เมืองผาโพง ได้ยินกิตติศัพท์ความงามของธิดาไอ่คำมาก่อนแล้ว ใคร่อยากจะเห็นหน้า จึงปลอมตัวเป็นพ่อค้าพเนจร ถึง นครเอกชะทีตา และติดสินบนนางสนมกำนัล ให้นำของขวัญลอบเข้าไปให้นางไอ่คำ ด้วยผลกรรมที่ผูกพันกันมาแต่ชาติ ปาง ก่อนนางไอ่คำกับท้าวผาแดง จึงได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน จนในที่สุดทั้ง 2 ก็ได้อภิรมย์สมรักกัน


ก่อนท้าวผาแดงจะจากไป เพื่อจัดขบวนขันหมากมาสู่ขอ ทั้ง 2 ได้คร่ำครวญต่อกันด้วยความอาลัยยิ่ง วันเวลาผ่านไปถึง
เดือน 6 เป็นประเพณีแต่โบราณของเมืองเอกชะทีตา จะต้องมีการทำบุญบั้งไฟบูชาพญาแถนระยาขอม จึงได้ประกาศบอก
ไปตามหัวเมืองต่างๆ ว่า บุญบั้งไฟปีนี้จะเป็นการหาผู้ที่จะมาเป็นลูกเขยอีกด้วย ขอให้เจ้าชายหัวเมืองต่างๆ จัดทำบั้งไฟมา
จุดแข่งขันกัน ผู้ใดชนะก็จะได้อภิเษกกับพระธิดาไอ่คำด้วย

ข่าวนี้ได้ร่ำลือไปทั่วสารทิศ ทุกเมืองในขอบเขตแว่นแคว้นต่างก็ส่งบั้งไฟเข้ามาแข่งขัน เช่น เมืองฟ้าแดดสูงยาง
เมืองเชียงเหียน เชียงทอง แม้กระทั่งพญานาคใต้เมืองบาดาลก็อดใจไม่ไหว ปลอมตัวเป็นกระรอกเผือกมาดูโฉมงาม
นางไอ่คำด้วยในวันงานบุญบั้งไฟ

เมื่อถึงวันแข่งขันจุดบั้งไฟ ปรากฏว่า บั้งไฟท้าวผาแดงจุดไม่ขึ้นพ่นควันดำอยู่ถึง 3 วัน 3 คืน จึงระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ทำให้ความหวังท้าวผาแดงหมดสิ้นลง

ขณะเดียวกัน ท้าวพังคีพญานาค ที่ปลอมเป็นกระรอกเผือก มีกระดิ่งผูกคอน่ารัก มาไต่เต้นไปมาอยู่บนยอดไม้ ข้างปราสาท
นางไอ่คำ ก็ปรากฏร่างให้นางไอ่คำเห็น นางจึงคิดอยากได้มาเลี้ยง แต่แล้วก็จับไม่ได้ จึงบอกให้นายพราน ยิงเอาตัวตายมา
ในที่สุดกระรอกเผือกพังคีก็ถูกยิงด้วยลูกดอกจนตาย ก่อนตายท้าวพังคีได้อธิษฐานไว้ว่า "ขอให้เนื้อของข้าได้แปดพันเกวียน
คนทั้งเมืองอย่าได้กินหมดเกลี้ยง"

จาก นั้นร่างของกระรอกเผือกก็ใหญ่ขึ้น จนผู้คนแตกตื่นมาดูกัน และจัดการแล่เนื้อแบ่งกันไปกินทั่วเมืองด้วยว่าเป็นอาหาร ทิพย์ ยกเว้นแต่พวกแม่ม่ายที่ชาวเมืองรังเกียจ ไม่แบ่งเนื้อกระรอกให้

พญา นาคแห่งเมืองบาดาลทราบข่าวท้าวพังคีถูกมนุษย์ฆ่าตาย แล่เนื้อไปกินกันทั้งเมือง จึงโกธรแค้นยิ่งนัก ดึกสงัดของคืนนั้นขณะที่ชาวเมืองชะทีตากำลังหลับไหล เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ท้องฟ้าอื้ออึงไปด้วยพายุฝนฟ้า กระหน่ำลงมาอย่างหนัก ฟ้าแลบอยู่มิได้ขาด แผ่นดินเริ่มถล่มยุบตัวลงไปทีละน้อย ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของผู้คนที่วิ่งหนี ตาย เหล่าพญานาคผุดขึ้นมานับหมื่น นับแสนตัว ถล่มเมืองชะทีตาจมลงใต้บาดาลทันที คงเหลือไว้เป็นดอน 3 - 4 แห่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกแม่ม่าย ี่ไม่ได้กินเนื้อกระรอกเผือกจึงรอดตาย

ฝ่าย ท้าวผาแดงได้โอกาสรีบควบม้าหนีออกจากเมือง โดยไม่ลืมแวะรับพระธิดาไอ่คำไปด้วย แต่แม้จะเร่งฝีเท้า ม้าเท่าใด ก็หนีไม่พ้นทัพพญานาคที่ทำให้แผ่นดินถล่มตามมาติดๆ ในที่สุดก็กลืนท้าวผาแดงและพระธิดาไอ่คำพร้อมม้าแสน
รู้ชื่อ "บักสาม" จมหายไปใต้พื้นดิน

รุ่งเช้าภาพของเมืองเอกชะทีตาที่เคยรุ่งเรืองโอฬาร ก็อันตธานหายไปสิ้น คงเห็นพื้นน้ำกว้างยาวสุดตา ทุกชีวิตในเมือง
เอกชะทีตาจมสู่ใต้บาดาลจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่แม่ม่ายบนเกาะร้าง 3 - 4 แห่ง ในผืนน้ำอันกว้างนี้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น
หนองหานหลวง ดังปรากฏในปัจจุบัน


ที่มา : http://www.esanclick.com/news.php?No=9209
 
 


         นิทานเรื่องผีก่องก่อย (ผีกองกอย)

ผีเอย…….ผีก่องก่อย…..มากินตับเด็กน้อยที่มันขี้ดื้อ
ผู้ใดฮ้องไห้ฮื่อๆ
…….สิจกใส้กินตับกินไต
จำได้ว่าสมัยเป็นเด็กประถม แม่จะเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนเสมอๆ
และหนึ่งในนิทานที่ฟังบ่อยๆก็คือเรื่อง ผีก่องก่อย ..
ผีก่องก่อยเป็นผีป่าชนิดหนึ่ง มักอาศัยอยู่ในด่าทึบรกชัด และออกหากินเวลาดึกดื่นเที่ยงคืน
เพราะเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบ และปราศจากผู้คน อีกทั้งอาหารก็หาง่าย
อาหารของมันก็คือ ปลา กบ เขียด กุ้ง หอย หากหาไม่ได้ ก็จะกิน หมา แมว และไปลักเป็ด ไก่
ของชาวบ้นมากิน หรือ กินแม้กระทั่งเด็ก
ลักษณะของผีก่องก่อยจะเหมือนกับคนทุกอย่าง จะต่างก็ตรงรูปร่างเล็กผอม ใบหน้าลีบแหลม
และส้นเท้าหันไปข้างหน้า ปลายเท้าจะหันไปข้างหลัง รอยเท้าจึงเหมือนกับคนเดินกลับหลัง
เวลาออกหากินดึกๆ มันจะส่งเสียงร้องว่า ” ก่องก่อย ก่องก่อย”
เมื่อหิวมากๆ จะร้องว่า “ก่องก่อย ก่องก่อย ก๊อก”
เสียง”ก๊อก” ที่ลงท้ายเป็นสัญญาณบอกว่า มันหิวสุดขีด
เวลาพูด มันจะพูดตรงข้ามกับสิ่งที่มันต้องการสื่อความหมาย เช่น ขาว จะหมายถึง ดำ
จะไปแป๊ปเดียว ก็หมายถึงจะไปนานมาก
มันจะมีฤทธิ์เดชหลายอย่าง เช่น วิ่งได้เร็วดั่งสายลม มีพละกำลังแข็งแรงดั่งยักษ์โข
มันมีจุดอ่อนอย่างเดียว คือ กลัวเวียด(กลัวคนเวียดนาม)
ถ้าหากว่ามันได้ยินเสียงภาษาเวียด(นาม) มันก็จะ รีบวิ่งหนีสุดชีวิต
ดังนั้นเพื่อป้องกันการเผชิญหน้ากับผีก่องก่อย
ก่อนเข้าป่าเราต้องฝึกพูดภาษาเวียด อย่างน้อยก็ต้องให้ได้คำว่า
“ดี่เด่า ดี่เดือก”
ฉันเผลอนอนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ .. มารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นใบหน้าแหลมๆเล็กๆลอยอยู่ตรงหน้า
ขนหัวฉันลุกตั้งชัน…พลางรีบท่อง นะโม นะโม… ในใจ ..ไม่ใชสิ ผีก่องก่อยกลัวเวียดนี่…
“ดี่เด่า ดี่เดือก ๆ ๆ
…..” ฉันพยายามท่องออกไปสุดเสียง..
” ฉาย ..ฉาย
….เป็นหยัง ละเมอหยังประหลาดแท้…” เสียงอ้ายดังอยู่ข้างๆ
“…..!! น้องคิดว่าผีก่องก่อย….”
ฉันไม่กล้าบอกว่า เห็นหน้าอ้ายนั่นแหละเป็นก่องก่อย
….
” เคยฟังบ่ล่ะ ”อ้ายถามฉัน
“จำไม่ได้แล้วค่ะ พี่เล่าอีกทีได้ไหมอะ… นะ
….นะ ” … นานๆมีคนมาให้อ้อน
” ใหญ่แล้วยังเฮ็ดโตปานเด็กน้อย
” ….
สุดท้ายอ้ายก็ต้องยอมเล่าแต่โดยดี
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพี่น้องอยู่สองคน มีอาชีพทำนา
เมื่อหน้าแล้งมาเยื่อน ก็ทำนาไม่ได้ ผู้เป็นพี่ชายจึงได้ไปหาปลาในห้วย ซึ่งอยู่ไกลออกไป
ทุกๆเช้าเขาจะไปกู้ลอบ ที่ดักปลาไว้
วันหนึ่งเขาไปกู้ลอบตามปกติ แต่ปรากฏว่า ไม่มีปลาเลยสักตัว
ซึ่งปกติแล้ว จะต้องมีปลาติดอยู่ตัวหรือสองตัว เขาคิดว่าจะต้องมีคนมาขโมยปลาเขาแน่ๆ
คิดดังนั้นเขาจึงเดินสำรวจบริเวณรอบๆ แล้วเขาก็พบรอยคนเท้าเล็กๆ ซึ่งไม่น่าจะยาวเกิน3นิ้ว
“ในโลกนี้คือสิมีคนตีนน้อยแนว(แบบ)นี้” เขาคิดในใจ
“ถ้าเป็นตีนเด็กน้อย ขนาดนี้ก็ยังย่าง(เดิน)บ่ทันเป็น” คิดแล้วเขาก็เอาลอบลงน้ำตามเดิม
วันรุ่งขึ้น ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก มันทำให้เขาโมโห และคิดว่าต้องจับให้ได้ว่าใครเป็นคนขโมย
คิดดังนั้น เขาจึงไปแอบคอยดักดูอยู่พุ่มไม้ใกล้ๆกับลอบดักปลาทั้งคืน เขาอดตาหลับขับตานอน
หลับๆตื่นๆ จนเวลาล่วงมาใกล้รุ่งสาง .. เขาก็ได้ยินเสียง คล้ายกับคนเดินมาเบาๆ
แล้วเขาก็ได้เห็น ผีก่องก่อยยืนอยู่ริมตลิ่ง มันเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆผมยาวเหมือนแม่มด
ไม่สวมเสื้อผ้า ยืนเปือยกายอยู่ตรงหน้า และทำท่ากำลังจะขโมยปลาของเขา
ความโกธรทำให้เขาลืมตัว ระเบิดโทสะออกไป
” กูสิสับมึงให้แหลกปานลาบพู้นล่ะ อีขี่ลัก” เขาตะโกนออกไปพร้อมกับกระโจนออกจากที่ซ่อน
ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแรงมากแต่ก็ไม่สามารถจับตัวผีก่องก่อยได้
ในที่สุด เขาเองกลับเป็นฝ่ายที่ถูกผีก่องก่อยจับตัวไปขังไว้ที่ถ้ำของมัน
พร้อมกับบังคับให้เขาเป็นผัว
และทุกครั้งที่ผีก่องก่อยออกไปหากิน มันจะเอาหินก้อนใหญ่มาปิดปากถ้ำไว้
หนึ่งปีผ่านไป เขาก็มีลูกชายกับผีก่องก่อย1 คน เขามีหน้าที่เลี้ยงลูกยามที่ผีก่องก่อยไม่อยู่
และเขาต้องอยู่แบบนี้นานถึง 3 ปี
อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายของเขาได้พยายามดันก้อนหินออกจากหน้าถ้ำ
ด้วยพละกำลังที่ได้มาจากแม่ผู้เป็นผีก่องก่อย ทำให้เด็กน้อยสามารถเปิดปากถ้ำให้ผู้เป็นพ่อ
หลบหนีออกไปได้
พอปากถ้ำเปิด เขาก็รีบวิ่งกลับบ้านอย่างสุดชีวิต …ถึงเขาจะวิ่งได้เร็วแค่ไหน
แต่ก็ยังช้ากว่าผีก่องก่อย ทันทีที่ผีก่องก่อยรู้ว่าเขาหนีไป มันก็รีบวิ่งตามมาติดๆ
เขาวิ่งจะถึงหมู่บ้านอยู่แล้ว …ช้าไปเสียแล้ว ผีก่องก่อยวิ่งตามเขาทัน..
เมื่อรู้ตัวว่าไม่พ้นเงื้อมือมัน เขาจึงรีบล้มตัวลงนอน แกล้งตายอยู่ตรงนั้น

เมื่อผีก่องก่อยมาถึงตัวเขา มันก็เดินวนรอบตัวเขา พร้อมกับเอามือจั๊กจี้เอวเขาดู
เขาเป็นคนที่มีความอดทน ไม่บ้าจี้ จึงนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น
พร้อมกันนั้นเขาก็ค่อยๆผายลมออกมาอย่างแผ่วเบา กลิ่นเหม็นจากตดของเขาตลบอบอวนไปทั่ว
ผีก่องก่อยเห็นดังนั้นก็ร้องไห้เศร้าโสกเสียใจด้วยความอาลัยรัก เมื่อมั่นใจแน่ว่าเขาตายแล้วจริงๆ
มันจึงเอาฆ้องวิเศษให้เขา 1 อัน พร้อมกับบอกว่า
“เมื่อเจ้าต้องการหยัง ก็ให้ตีฆ้องเทื่อหนึ่ง”
พอผีก่องก่อยลับตาไปแล้วชายหนุ่มก็รับเข้าบ้าน กลับมาแล้วความเป็นอยู่ของเขาก็ดีขึ้น
เพราะว่าอยากได้อะไรก็แค่ตีฆ้องวิเศษ เมื่อน้องชายเห็นดังนั้นก็อยากได้บ้าง
จึงได้ถามว่า เขาได้มันมายังไง และหายไปไหนมาตั้ง 3 ปี
เขาจึงเล่าให้น้องชายฟังอย่างละเอียด เมื่อน้องชายเขาฟังจบก็พูดว่า
“ข้อยก็อยากรวยคือกัน”
เมื่อน้องชายเขาคิดดังนี้แล้วจึงได้ออกไปหาผีก่องก่อยให้ผีก่องก่อยจับตัวไป
แล้วก็หนี่กลับมา แต่เขาโชคไม่ดีเหมือนพี่ชายเขาเพราะ
เขาไม่สามารถอดกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ ตอนที่เขาโดนผีก่องก่อยจั๊กจี้ที่เอวนั้น
เขาก็หัวเราะชักดิ้นชักงอ
….ผีก่องก่อยจึงรู้ว่าเขาไม่ได้ตาย
มันจึงเอามือจก(ล้วง)กินตับไตใส้พุงของเขาจนหมดเกลี้ยง …
อ้ายเล่านิทานจบ ก็หันมามองหน้าฉัน … พร้อมกับทำหน้าตาหน้ากลัว
“นี่แหนะ.ๆๆ..”
ฉันรีบยื่นมือไปจั๊กจี้เอวอ้าย พร้อมกับวิ่งหนีรอบบ้าน


              
ที่มา : http://www.esantalk.com/

                      Photobucket    Photobucket    Photobucket   Photobucket

6 ความคิดเห็น:

  1. นิทานพื้นบ้านมีเนื้อหาที่สนุกแฝงด้วยคุณธรรมเหมาะสำหรับเยาวชนทุกเพศทุกวัยที่สนใจ

    ตอบลบ
  2. อ่านแล้ว สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ดีมากคะ

    ตอบลบ
  3. เป็นนิทานที่เป็นเรื่องใกล้ตัวแฝงแง่คิดสำหรับเด็กๆ

    ตอบลบ
  4. นิทานพื้นบ้านสนุกดีค่ะให้ข้อคิดดีมาก

    ตอบลบ
  5. เคยได้ยินแต่ชื่อเรื่องตำนานผาแดง นางไอ่ เพิ่งได้รู้เรื่องราวความเป็นมาก็คราวนี้ล่ะค่ะ

    ตอบลบ